การพูดที่ดีต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ใช้วัจนภาษา อวัจนภาษา และสื่อ ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ฟัง สถานที่ เวลา โอกาส
และสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ หลักการพูดที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้
คือหลักการพูดที่ผู้พูดรู้ตัวล่วงหน้า เพื่อให้การพูดประสบความสาเร็จ
ผู้พูดจะต้องปฏิบัติตามหลักการพูดดังต่อไปนี้
การเตรียมตัวในการพูด
ก่อนพูดทุกครั้งผู้พูดจะต้องเตรียมการพูดให้พร้อม การเตรียมที่ครบถ้วนคือการเตรียมให้ครบตามองค์ประกอบของการพูด โดยจัดลำดับความสำคัญก่อน หลัง ดังนี้
1. วิเคราะห์ผู้ฟัง สถานที่ เวลา โอกาส
และสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ผู้ฟัง คือ องค์ประกอบที่สำคัญของการพูด
ผู้พูดต้องวิเคราะห์รายละเอียดของผู้ฟังให้มากที่สุด ทั้งเพศ วัย การศึกษา อาชีพ ศาสนา หรือลัทธิความเชื่อ ความสนใจพิเศษ จำนวน
นอกจากนั้นยังต้องวิเคราะห์สถานที่ เวลา และโอกาส ในการพูดครั้งนั้นด้วย เช่น
พูดในหอประชุม หรือกลางสนาม เวลาเช้าหรือบ่ายระยะเวลา 3 ชั่วโมง
หรือเพียง 10 นาที พูดเนื่องในโอกาสวันปฐมนิเทศ
วันฉลองจบการศึกษา หรือ วันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมคาปฏิสันถาร
เนื้อหา ภาษา ตัวอย่าง สื่อ การแต่งกายของผู้พูด ฯลฯ ให้เหมาะสม
2. เตรียมตัวผู้พูด การเตรียมตัวผู้พูด
เน้นในเรื่องการเตรียมบุคลิกภาพ ทั้งบุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน
2.1 บุคลิกภาพภายนอก
ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกาย สุขภาพ การยืน การเดิน การใช้สายตา
ท่าทาง การออกเสียง เป็นต้น บุคลิกภาพภายนอก จะปรากฏเด่นชัดในระยะเวลาอันสั้น
คุณจะดูแลบุคลิกภาพภายนอกของคุณให้ “ดูดี” อย่างไรได้บ้าง
รูปร่าง
หน้าตา ผิวพรรณ มีอะไรบ้างไหมที่ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ สะอาดสะอ้านหรือเปล่า
แก้ไขอำพราง ตกแต่ง เพิ่มเติมอะไรได้บ้างไหม ดีที่สุดหรือยัง พอใจหรือยัง
การแต่งกาย
ข้อเสนอแนะในการแต่งกายเพื่อให้เป็นผู้มีบุคลิกภาพดี คือ ยึดหลัก 5 ส. ได้แก่ สะอาด สะดวก สุภาพ สวยงาม และสง่า
ไม่จำเป็นต้องเด่นสะดุดตามากนัก
สุขภาพ
ผู้พูดจะต้องดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ การเจ็บป่วยหรือแม้แต่พักผ่อนไม่เพียงพอ
มีผลต่อบุคลิกภาพ อาจหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี น้ำเสียงไม่แจ่มใส
และอาจทำให้ขาดปฏิภาณไหวพริบในการคิด การพูด การสนทนาโต้ตอบ
การใช้สายตา
ท่าทาง การออกเสียง หมายรวมถึง อิริยาบถต่าง ๆ การใช้ท่าทาง
การแสดงความรู้สึกทางสีหน้า สายตา เป็นต้น
2.2 บุคลิกภาพภายใน
ได้แก่ ลักษณะทางจิตใจ เช่น อุปนิสัย ความสนใจ ความคิด ทัศนคติในการมองโลกและชีวิต
ลักษณะทางอารมณ์ เช่น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมต่าง ๆ ลักษณะทางสังคม
เช่น การมีมนุษยสัมพันธ์ การปรับตัว ลักษณะทางปัญญา เช่น ความเฉลียวฉลาด
ความมีไหวพริบ เป็นต้น
บุคลิกภาพภายใน
อาจมองไม่เห็นในระยะอันสั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “ตัวตน”
ของบุคคล บุคลิกภาพภายในเป็นสิ่งที่สร้างเสริมและพัฒนาได้ เช่น
การพยายามมองโลกในแง่ดี การมองบุคคลอื่นอย่างเป็นมิตร การระงับอารมณ์ฉุนเฉียว
โกรธง่าย การรู้จักการให้อภัย การมีความหวังและพลังใจ การรู้จักสนใจสิ่งต่าง ๆ
รอบตัว การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเพิ่มพูนความรู้ ความคิด ประสบการณ์
เป็นต้น
บุคลิกภาพภายในกับบุคลิกภาพภายนอกย่อมสัมพันธ์กัน
เมื่อคุณปรากฏตัวเพื่อพูดภายใน 4 นาทีแรก
ผู้ฟังจะมองคุณที่บุคลิกภาพภายนอก เช่น รูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
เครื่องประดับ หลังจากนั้นผู้ฟังจะสนใจเรื่องอื่น ๆ เช่น เนื้อหาสาระ สื่อ
หรืออุปกรณ์ และบุคลิกภาพภายในที่คุณแสดงออก เช่น ความคิด ทัศนคติ อารมณ์
ความเฉลียวฉลาด ความรู้ ความสามารถ เป็นต้น
3. เตรียมเนื้อหา การเตรียมเนื้อหา
ต้องให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เหมาะสมกับผู้ฟัง สถานที่ เวลา
และโอกาสที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้ว โดยมีลำดับขั้นในการเตรียมเนื้อหาดังนี้
3.1 กำหนดวัตถุประสงค์การพูดให้ชัดเจน
3.2 เลือกเรื่องที่จะพูด
3.3 ค้นคว้ารวบรวมเนื้อหา
3.4 วางโครงเรื่องและเรียบเรียงเรื่อง
4. เตรียมสื่อ (media)
สื่อหรือเครื่องมือถ่ายทอดสารในการพูดคือภาษา
ผู้พูดจะต้องเตรียมวัจนภาษา ได้แก่ ถ้อยคำ คำคม ภาษิต คำพูดที่ประทับใจ
เตรียมฝึกการใช้อวัจนภาษา ได้แก่ กริยา ท่าทาง การใช้สีหน้า แววตา ฯลฯ
รวมไปถึงการเตรียมสื่อหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ให้พร้อม เพื่อให้การพูดนั้นๆ
ประสบความสำเร็จที่สุด เช่น ไมโครโฟม รูปภาพ แผนภูมิของจริง ฯลฯ
เตรียมการใช้สื่อนั้นให้คล่องแคล่ว และเป็นไปตามลำดับสอดคล้องกับเรื่องที่พูด
การฝึกพูด
การพูดเป็นทักษะ
ฉะนั้นการฝึกพูดจึงเป็นเรื่องสาคัญ ผู้พูดอาจฝึกคนเดียวหรือฝึกต่อหน้าผู้อื่น
ขั้นตอนการฝึกพูดมีดังต่อไปนี้
1. ทำบทพูดหรือบันทึกสั้น
ปัญหาของผู้พูดหลาย ๆ คน คือตั้งแต่เริ่มต้นพูดก็จำไม่ได้ว่าจะทักผู้ฟังอย่างไร
หรือลืมทักผู้ฟัง จาเนื้อหาไม่ได้หรือสับสน
ผู้พูดจะต้องอ่านเนื้อหาที่เตรียมไว้ให้เข้าใจ แล้วทาบทพูดหรือบันทึกสั้น ๆ
เฉพาะประเด็นสำคัญ ลำดับไปตามโครงเรื่องคือ นำเรื่อง เนื้อเรื่อง และสรุป
หากเกรงว่าจะจำคำปฏิสันถารผู้ฟังไม่ได้ก็ควรเขียนไว้ในบทด้วย
กระดาษที่ทำบทพูดหรือบันทึกสั้นๆ อาจใช้กระดาษธรรมดา หรือกระดาษแข็ง
ขนาดครึ่งหนึ่งของกระดาษ A4
2. พูดจากความเข้าใจ
เริ่มตั้งแต่ปฏิสันถารผู้ฟังแล้วลำดับไปตามโครงเรื่อง
ถ้าเนื้อหาสั้นควรพูดได้เองโดยไม่ต้องดูบท ถ้าเนื้อหามากและติดขัด
ให้ดูบทพูดที่บันทึกหัวข้อหรือประเด็นสาคัญไว้ แล้วพูดอธิบาย
ขยายความเองจากความเข้าใจ การถือกระดาษบันทึก ควรถือให้เรียบร้อย ไม่ม้วน พับ
หักมุม เคาะ ดีดม้วนแล้วนามากระแทกกับฝ่ามือ ฯลฯ
3. ฝึกการใช้อวัจนภาษา เช่น การใช้เสียง
สายตา การยืน การเดิน การใช้ท่าทางประกอบการพูด
4. จับเวลา ต้องพูดให้จบภายในเวลาที่กำหนด
5. ประเมินผล รวบรวมข้อบกพร่องในการพูด
วิเคราะห์ และประเมินผล หลังจากนั้นควรฝึกซ้อม โดยแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ นั้น
การปฏิบัติการพูด
เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว
ฝึกพูดแล้วขั้นต่อไปก็คือขั้นปฏิบัติการพูด หรือลงมือพูด ซึ่งเริ่มต้น
และสิ้นสุดตามลำดับดังนี้
1. เดินไปสู่ที่พูด การเดินไปสู่ที่พูด
ควรเดินอย่างกระฉับกระเฉง มั่นใจ เมื่อถึงที่พูดควรหยุดเล็กน้อย (ในบางกรณี เช่น
การประกวดการพูดอาจทาความเคารพกรรมการ) มองผู้ฟัง ยิ้มแย้มแจ่มใส ยืนสบาย ๆ
วางเท้าให้เหมาะสมไม่ห่างหรือชิดเกินไป
2. กล่าวปฏิสันถารผู้ฟัง
เริ่มต้นพูดโดยการกล่าวปฏิสันถาร หรือทักผู้ฟังให้เหมาะสม
3. พูดไปตามลำดับโครงเรื่อง
เมื่อกล่าวถึงคาปฏิสันถารผู้ฟังแล้วก็เริ่มต้นพูดไปตามลาดับโครงเรื่อง ตั้งแต่
นำเรื่อง เนื้อเรื่อง และลงท้าย ถ้าติดขัดให้ดูหัวข้อหรือประเด็นสำคัญ
ที่ทำบันทึกเตือนความจำไว้
ขณะพูดใช้อวัจนภาษา
เช่น การเดิน การยืน การใช้สายตา ท่าทาง เสียง และจังหวะการพูดให้เหมาะสม
ถ้าใช้สื่อประกอบการพูดก็ต้องใช้อย่างคล่องแคล่ว และเป็นไปตามลำดับ
สอดคล้องกับเนื้อหา
4. การเดินกลับ
เมื่อพูดจบควรเดินกลับที่นั่งอย่างกระฉับกระเฉงและมั่นใจ ไม่รีบร้อนเกินไป
(บางกรณี เช่น ในการประกวดการพูด ให้ก้าวถอยหลังสองก้าว ทำความเคารพผู้ฟัง
แล้วเดินกลับที่นั่ง)
ผู้พูดควรสารวมอิริยาบถให้สุภาพเรียบร้อย
นับตั้งแต่การเดินไปสู่ที่พูด จนกระทั่งการเดินกลับสู่ที่นั่ง เพราะทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของผู้ฟัง
บางคนเมื่อพูดจบก็โล่งใจ ทาให้ลืมสารวม บางคนวิ่งกลับมายังที่นั่ง
บางคนแลบลิ้นเพราะเขินอายที่ผิดพลาด ทำให้เสียบุคลิกภาพยิ่งขึ้น
การประเมินการพูด
การประเมินการพูดอาจประเมินโดยการบรรยาย
หรือประเมินโดยกาหนดเกณฑ์เป็นค่าระดับคะแนนก็ได้ หัวข้อการประเมินทั่วไปมีดังนี้
1. การปรากฏตัวและการปฏิสันถารผู้ฟัง
ผู้พูดปรากฏตัวอย่างกระฉับกระเฉงมั่นใจหรือไม่ กล่าวคำปฏิสันถารผู้ฟังหรือไม่
ถูกต้องเหมาะสมเพียงไร
2. การนาเรื่องหรืออารัมภบท
ผู้พูดนำเรื่องได้น่าสนใจชวนให้คิดตามเรื่องต่อไปหรือไม่
การนำเรื่องช่วยสร้างบรรยากาศการพูดเพียงใด ทำให้ผู้ฟังเลื่อมใสผู้พูด
หรือช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่จะพูดต่อไปหรือไม่
สัดส่วนการนำเรื่องเหมาะสมเพียงใด เป็นต้น
3. เนื้อหาและการดำเนินเรื่อง
เนื้อหาน่าสนใจหรือไม่ การดำเนินเรื่องทำให้น่าสนใจและชวนติดตามเพียงไร
สัดส่วนของเนื้อหาเหมาะสมหรือไม่ การลำดับเรื่องไม่สับสน เข้าใจง่ายหรือไม่
ตัวอย่างชัดเจน เหมาะสมน่าสนใจเพียงใด
4. การใช้ถ้อยคำสำนวนภาษา
และสื่อหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ถ้อยคำสำนวนภาษาที่ใช้สุภาพ เหมาะสมกับผู้ฟังหรือไม่
ลึกซึ้ง คมคาย สอดคล้องกับเรื่องที่พูดหรือไม่ สื่อที่ใช้เหมาะสม
และช่วยสื่อความหมายยิ่งขึ้นหรือไม่ ลักษณะการใช้สื่อเหมาะสมเพียงใด
5. การออกเสียง ระดับเสียง และจังหวะการพูด
การออกเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ชัดเจนหรือไม่ น้ำเสียงแจ่มใส และนุ่มนวลชวนฟัง
หรือสั่นเครือ แหบพร่า และเพี้ยนแปร่ง ระดับเสียงดังพอสมควรหรือไม่
มีการเน้นย้าพอเหมาะชวนให้สนใจติดตามเรื่องหรือไม่ จังหวะการพูดช้า-เร็ว
เหมาะสมเพียงใด
6. การใช้สายตาท่าทาง
ผู้พูดมองผู้ฟังทั่วถึงหรือไม่ จับตาผู้ฟังเฉพาะคนบ้างหรือไม่
ท่าทางที่ใช้สุภาพเหมาะสมสอดคล้องกับเรื่องที่พูดเพียงใด
7. การลงท้าย
ผู้พูดมีการลงท้ายหรือการจบการพูดหรือไม่ ประทับใจหรือไม่
สัดส่วนของการลงท้ายเหมาะสมเพียงใด จบเรื่องภายในเวลาที่กำหนดหรือไม่
8. คุณค่าของเรื่อง เนื้อเรื่องมีคุณค่าต่อผู้ฟังมาน้อยเพียงใด
9. บุคลิกภาพทั่วไป บุคลิกภาพทั่วไป เช่น
การแต่งกาย การเดิน การยืน(หรือนั่ง)เหมาะสมหรือไม่
10. ความสนใจของผู้ฟัง
ผู้ฟังให้ความสนใจเพียงไร ตั้งใจฟังหรือไม่
ร่วมซักถามหรือแสดงความคิดเห็นบ้างหรือไม่ จะเห็นได้ว่าการประเมินการพูด
ประเมินไปตามองค์ประกอบของการพูดนั่นเอง ได้แก่ ประเมินผู้พูด เนื้อหาสาระ
การใช้ภาษาและสื่อ และประเมินผู้ฟัง การประเมินการพูดอาจใช้หัวข้อเดียวกัน
แต่แทนที่จะบรรยายอาจกาหนดเกณฑ์เป็นค่าระดับคะแนนก็ได้
วิดีทัศน์ประกอบการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น